ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ทำนาย

๑๘ พ.ค. ๒๕๖๗

ทำนาย

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่).หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม เรื่อง จิตเห็นจิต

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพยิ่ง เรียนถามดังนี้ เวลาภาวนาเคยอยู่ไม่กี่ครั้งที่ผู้รู้เห็นคิดว่าเป็นจิต มันอยู่ตรงนั้น มันมีที่อยู่ ถ้าจะทำลายอวิชชา ทำลายที่ภพของจิต หรือที่ตัวจิต หรือตัวรู้ กราบน้อมนมัสการหลวงพ่อ

ตอบ ไปหาหมอจิตแพทย์ถามเขาว่า ที่ภาวนาจิตเห็นจิตมันถูกต้องหรือไม่ ไปหาจิตแพทย์นะ จิตแพทย์เขาจะขุดเขาจะตรวจสอบว่ามันเป็นหูแว่วหรือมันเป็นความวิตกกังวล หรือมันมีอะไรผิดปกติ

เพราะการภาวนาๆ เรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา เวลาภาวนาๆ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอนให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน

มันอยู่ที่จริตนิสัยของคน ถ้าอยู่ที่จริตนิสัยของคนนะ ทีนี้จะบอกว่า จิตเห็นจิตมันเป็นเอกลักษณ์ของหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านยกย่องเชิดชูหลวงปู่ดูลย์ด้วยว่าหลวงปู่ดูลย์เป็นพระที่ดีงาม

แต่ความเป็นพระที่ดีงามของท่าน ท่านก็ได้สร้างอำนาจวาสนาของท่านมา เวลาท่านบอกว่า การดูจิต การพิจารณาจิต

หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกว่า การใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันก็ต้องใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิมีสติปัญญาเท่าทันความรู้สึกนึกคิด เวลาทันความรู้สึกนึกคิดมันก็หยุดคิด

หลวงปู่ดูลย์บอกดูจิตๆ ดูจิตจนมันหยุดคิด ถ้ามันหยุดคิด ถ้ามันหยุดแล้วมีสติปัญญาเท่าทันมัน นั่นตัวจิต ถ้าตัวจิตๆ ถ้าจิตเห็นจิตเป็นมรรค

เวลาหลวงปู่ดูลย์ท่านพิจารณาของท่านนะ จิตนอก จิตนอกคืออารมณ์ความรู้สึก ขันธ์ภายนอกนี่จิตนอก ท่านพิจารณาของท่านเวลามันชำระล้าง เวลามันขาด นี่จิตนอก บุคคลคู่ที่ ๑

เวลาพิจารณาต่อเนื่องไป ดูจิตจนจิตมันเห็นจิตใน จิตใน เห็นไหม ท่านพิจารณาของท่านจนถึงที่สุดแล้วท่านเป็นบุคคลคู่ที่ ๒

ท่านพิจารณาจิตของท่าน ปัญญาอบรมสมาธิ ดูจิต ดูจิตจนจิตมันสงบเข้าไปน่ะ เวลามันจิตถอด จิตถอด นั่นคู่ที่ ๓

เห็นปฏิจจสมุปบาทคือจิตเห็นตัวจิตนั่นน่ะ นั่นน่ะคู่ที่ ๔ นี่ความเป็นจริงของท่าน

ความเป็นจริงของท่าน หลวงปู่มั่นท่านยังชื่นชมว่าเป็นลูกศิษย์ของท่าน นี่มันเป็นเอกลักษณ์ของหลวงปู่ดูลย์ท่าน แล้วท่านทำของท่านในการประพฤติปฏิบัติของท่าน ลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะไปหมดน่ะ

ทีนี้หลวงปู่ดูลย์ มันเป็นอำนาจวาสนาไง ท่านไม่ดุ ท่านมีแต่นั่งยิ้มๆ ใครจะพูดอย่างไรก็เรื่องของคนนั้น แต่จริงเท็จบุคคลคนนั้นจะรู้ บุคคลคนนั้นเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา จิตมันสงบระงับนะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี พอจิตสงบนั่นน่ะ จิตนอก จิตนอก

แต่ของเรามันไม่ใช่ มันนอกจิต มันไม่มีจิต มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกทั้งสิ้น สามัญสำนึกของมนุษย์ สามัญสำนึกของมนุษย์นี่ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ความรู้สึก

แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการนั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง หลวงปู่ดูลย์เวลาท่านสอนก็เรื่องหนึ่ง เพราะบุคคลที่ประพฤติปฏิบัติได้ตามความเป็นจริงท่านมีเนื้อหาสาระ ท่านมีจิต ท่านมีขันธ์นอกจิต ขันธ์ที่มันครอบงำ นี่ท่านพิจารณาของท่าน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา

แล้วฟองอวิชชา กิเลสมันอยู่ที่ไหนล่ะ เรารู้อะไรล่ะ มันไม่มีเนื้อหาสาระ ฉะนั้นบอกว่า เคยปฏิบัติอยู่ จิตเป็นผู้รู้ จิตที่มันอยู่ตรงนั้นมันอยู่ตรงนี้

ไปหาหมอนะ หมอจิตแพทย์น่ะ แล้วเล่าอาการให้เขาฟัง มันเป็นวิทยาศาสตร์นะ อารมณ์ความรู้สึกมันจับต้องได้ทั้งนั้นน่ะ จิตแพทย์เขาขุดได้ เขาฟังนี่เขารู้

มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกของคนที่มันส่งออก อารมณ์ความรู้สึกส่งออกมันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เวลาเกิดเป็นเทวดามีขันธ์ ๔ เวลาเกิดเป็นพรหมเป็นขันธ์ ๑ ตกนรกอเวจีมันก็มีเวรมีกรรมของมัน ถ้ามีเวรมีกรรมของมัน ชาติในปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แล้วจิตอยู่ไหน

ดูจิต ดูจิตจนจิตมันสงบ จิตเห็นจิต จิตนอก จิตนอกคือจิตมันเป็นหลักเป็นเกณฑ์ นอก นอกคือตัวจิต จิตที่มันตั้งมั่นคือจิตเป็นสัมมาสมาธิแล้วจิตมันจะศึกษาค้นคว้าของมัน เราศึกษาค้นคว้าด้วยสติด้วยปัญญานะ จิตมันเห็น จิตนอก จิตใน จิตถอด จิตในจิต นี่ของหลวงปู่ดูลย์ ชัดเจน แล้วไม่มีใครคัดค้าน

เพียงแต่หลวงปู่ดูลย์ท่านเป็นคนแบบว่านุ่มนวลอ่อนหวานยิ้มอย่างเดียว ใครจะมาแอบอ้างถากถาง แอบอ้างเอาไปเป็นสินค้า ท่านก็ยิ้มอย่างเดียว แต่ท่านรู้ ไม่รู้เป็นอริยบุคคลขึ้นมาไม่ได้

ฉะนั้น สิ่งที่เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา สิ่งที่ว่าคำถามไง จิตมันอยู่ตรงนั้น จิตมันอยู่ตรงนี้ ถ้าจะทำลายอวิชชา จะทำลายที่ภพของจิต หรือที่ตัวจิต หรือที่ตัวผู้รู้

ไปหาหมอจิตแพทย์ แล้วถ้าจิตแพทย์นั่นเขาเป็นทางวิชาการ แล้วเขามีองค์ความรู้ แล้วเขาขุดนะ เขาแก้ไข

แต่ถ้ามันเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง ผู้ที่ไม่มีอำนาจวาสนาไง มันเป็นการทำนายทายทัก ไอ้นี่มันเป็นการคาดหมายทั้งนั้นน่ะ มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกทั้งนั้นน่ะ มันไม่จริงหรอก

จิตเห็นจิต เราฟังมาเยอะ แล้วเราฟังมานาน มันเป็นอุปาทานหมู่น่ะ ครูบาอาจารย์พูดอย่างไรมันก็ว่าเป็นอย่างนั้น แล้วเวลาเป็นที่ว่าเป็นที่กิเลสของตัวเองนะ พอมีความรู้สึกนึกคิดอะไรขึ้นมา นี่อาจารย์ทักมาแล้วแหละ หลวงปู่ดูลย์ท่านแก้จิต” ...ใกล้บ้าเต็มทีแล้ว

เวลาเป็นจริงเป็นจังนี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ให้หัดพุทโธๆๆ ของตน

ถ้าพุทโธแล้ว ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา จิตสงบหรือไม่สงบ จิตเป็นอย่างไรๆ แล้วถ้าจิตมันเห็น เห็นไหม มันก็เหมือนหลวงปู่ดูลย์น่ะ จิตเห็นจิตเป็นมรรค

จิตเห็นอาการของจิต นี่จิตนอก จิตนอกเพราะจิตมันมั่นคง จิตมันมีสติสัมปชัญญะ แล้วสิ่งที่ว่าจิตนอกที่มันนอกจากจิตไปนั่นน่ะคืออาการทั้งสิ้น

จิตในก็เหมือนกัน จิตในถ้ามันมั่นคงแล้วมันเห็นของมัน เห็นไหม จิตใน

สิ่งที่ว่าถ้าพิจารณาไปแล้วด้วยวิปัสสนาญาณ นี่จิตนอก จิตใน จิตถอด แล้วจิตเห็นจิต นั่นน่ะเป็นตัวจริง ความเป็นจริงของท่าน

แต่พวกเราไอ้พวกทำนายทายทัก ได้ยินได้ฟังแล้วมันสะเทือนใจ แล้วมันเป็นการที่ว่าใครจะนึกใครจะคิดอย่างไรก็ได้ ใครจะคาดใครจะหมายอย่างไรก็ได้ มันเลยกลายเป็นการทำนายทายทักไง

ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปหาหมอจิตแพทย์ ถ้าภาวนาเราก็เป็นหมอดูไง เป็นการทำนายทายทัก แล้วทำนายทายทักจะผิดหรือถูกก็ยังไม่รู้ แล้วตัวเองก็ทำนายทายทักตัวเองก็ไม่ได้ การประพฤติปฏิบัติไม่มี

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบอกให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ของจิต จิตมันต้องมีเครื่องอยู่ของมัน มันต้องยึดมั่นของมัน เวลาบริกรรมพุทโธๆ ตัวมันต้องบริกรรม ถ้าบริกรรมพุทโธๆ จนพุทโธกับจิตเป็นอันเดียวกันแล้วมันราบรื่นไง พุทโธๆ จนพุทโธไม่ได้เลย

ถ้าพุทโธๆ จิตกับพุทโธเป็นอันเดียวกันมันราบรื่น ขณิกสมาธิมันมีความสุขความสงบของมัน ถ้าเป็นอุปจาระขึ้นมามันวางของมันนะ พุทโธๆ แล้วมันวางพุทโธ ถ้ามันไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ นั่นน่ะอุปจารสมาธิเวลามันออกใช้สติใช้ปัญญา เวลาใช้สติใช้ปัญญา นี่มาตรฐานของจิต

จิตมีกำลังมากน้อยขนาดไหน

ถ้าปุถุชนคนหนามันหนาไปด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันตรึกในธรรมๆ ถ้ามีสติปัญญามันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ

ถ้ามันไม่มีสติไม่มีปัญญามันก็เป็นการทำนายทายทัก มันก็เป็นหมอดู มันเป็นหมอดูหมอเดา หมอด้นเดา เดาจิตของตัวเอง มันเดาจิตของตัวเองแล้ว แล้วมันก็ล้มลุกคลุกคลานไง ไร้สาระ จิตเห็นจิตนี่

แล้วถ้าไปที่อื่นมันก็จบไง ถ้าตอบแล้วอย่าเขียนมาอีกนะ เขียนมาฉีกทิ้งลงตะกร้าหมด พอกันที จับปลานอกสุ่มน่ะ แล้วก็ตะเกียกตะกาย จิตเห็นจิตเชียว

พอจิตเห็นจิต แล้วจะทำลายที่ไหน ภพของจิต หรือตัวจิต หรือผู้รู้

เอ็งรู้จักมันจริงๆ หรือ เอ็งรู้จักจิตด้วยหรือ มันจะเป็นไปได้อย่างไร จะทำลายอย่างไร เอาอะไรไปทำลายมัน

เวลาเขาสอนไง เอาปืนยิงมันเลย ปาระเบิดใส่มัน ฟังแล้วขำน่ะ สิ่งที่เป็นนามธรรมระเบิด จะไประเบิดอะไรมัน จะเอาปืนไปยิงที่ไหน เห็นผี เอาระเบิดปรมาณูระเบิดใส่ผี ผียังไม่กลัวเลย จะเอาอะไรไปทำลายมัน

แหมจะทำลายที่ภพ จะทำลายที่จิต หรือจะทำลายที่ผู้รู้ ...เอาอะไรไปทำลาย

มันเป็นการทำนายทายทัก มันเป็นเรื่องเหลวไหลมากๆ พอเป็นเรื่องเหลวไหลแล้ว เวลาการประพฤติปฏิบัติ เวลาฝึกหัดศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องมีศีลของมันก่อน ถ้ามีศีลแล้ว ศีลมันเป็นความปกติ ถ้าทำความสงบได้มันก็เป็นสัมมาสมาธิ

ถ้ามันทุศีล ถ้ามันกะล่อนปลิ้นปล้อน มันก็ทำความสงบของใจบ้าง แต่มันเป็นมิจฉาไง มิจฉาพอมันเป็นสมาธิขึ้นมามันก็จะออกรู้ ส่งออก ออกรู้ร้อยแปดพันเก้า แล้วก็จะเอาสิ่งที่รู้ที่เห็นมาอบรมบ่มเพาะจะมาสอนกัน

แล้วเวลาไอ้คนที่ประพฤติปฏิบัติมันก็ทำสมาธิแล้วมันจะออกไปรู้ไปเห็นเหมือนกันมันก็เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะกำลังของจิตมันแตกต่างกัน เวรกรรมของสัตว์มันก็แตกต่างกัน สิ่งที่ทำทั้งหมด จิตมันส่งออกทั้งสิ้น

แต่ถ้ามันทำความสงบของใจได้มันสงบระงับเข้ามา มันไม่ส่งออกไป ตัวจิตนี้เป็นสัมมาสมาธิ ถ้าตัวจิตเป็นสัมมาสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี พอจิตสงบแล้วถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้มันจะเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง เวลามันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงนี่ไง นี่จิตนอก จิตที่มันเข้มแข็ง จิตที่มันมีกำลังของมันน่ะ จิตนอก

จิตนอกเพราะกิเลสมันตัวเล็กๆ ไง มันเป็นเหลนเป็นหลานของอวิชชาไง นี่มันจิตนอกๆ มันอยู่ภายนอก มันอยู่วงนอก ถ้าอยู่วงนอก ถ้ามันจับต้องได้ มันพิจารณาได้ มันพิจารณาของมัน ถ้าเป็นปัญญาขึ้นมา ไอ้คำถามนี้จะขำตัวเองหมดล่ะถ้ามันเป็นจริง ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นจริงของมัน

ฉะนั้น กรณีหลวงปู่ดูลย์ เราไม่ปฏิเสธ เรายกย่องบูชา เราเคารพท่านด้วย แต่เวลาอำนาจวาสนาของคนมันแตกต่างกัน อีกคนคนหนึ่งมีเชาวน์มีปัญญา มีความรอบคอบรู้จับต้องได้สิ่งใดได้ เห็นตามข้อเท็จจริง อีกคนหนึ่งไม่มีเชาวน์ไม่มีปัญญาแต่ก็จะเอาตามเขาไง นี่ไง เห็นบิลล์ เกตส์มันรวยก็อยากจะรวยเหมือนมันไง เอ็งทำอีกร้อยชาติเอ็งก็รวยเท่าบิลล์ เกตส์ไม่ได้หรอก

นี่ก็เหมือนกัน หลวงปู่ดูลย์ท่านเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ท่านสำเร็จของท่านไปแล้ว ท่านทำด้วยอำนาจวาสนาบารมีของท่าน แล้วท่านก็อบรมบ่มเพาะ ท่านก็สอนด้วยจริตนิสัย ด้วยความชำนาญของท่าน

แล้วไอ้เราไอ้คนด้อยค่า ไอ้คนที่เข้าไอทียังไม่เป็นเลย จะจิตเห็นจิตเชียว

บิลล์ เกตส์มันเป็นคนคิดขายพวกมึงด้วย มึงไปซื้อมันมาใช้ไง แล้วมึงว่าจะรวยเหมือนมัน นี่ไง จะมีความรู้เท่าหลวงปู่ดูลย์ จะมีความเห็นนะ...อีกร้อยชาติ ฉะนั้น ทำความสงบใจของตัวให้ได้

โดยพื้นฐาน บิลล์ เกตส์จะร่ำรวยมากมายขนาดไหนเขาก็เป็นคน ไอ้เราจะเป็นชาวไร่ชาวนาของเราก็เป็นคน สิทธิมนุษยชน คนมีอำนาจวาสนาเหมือนกัน การเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะฝึกหัดปฏิบัติของเรา เราจะทำความสงบฝึกหัดสมถกรรมฐาน จะด้วยวิธีการใด กรรมฐาน ๔๐ ห้องได้ทั้งนั้น เราจะทำของเรา ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังก็อำนาจวาสนาของเรา

ไม่ใช่ว่าเราเกิดเป็นคนแล้วเราจะไม่มีสิทธิเหมือนเศรษฐี เศรษฐีเขาประสบความสำเร็จของเขา เขามีสติปัญญาของเขา เขามีโอกาสของเขา เขามีอำนาจวาสนาของเขา เขาทำของเขาประสบความสำเร็จของเขา

หลวงปู่ดูลย์ท่านมีอำนาจวาสนาของท่าน ท่านทำของท่านด้วยความชอบธรรมของท่าน มันจะผิดไปที่ไหน มันก็ไม่ผิด สิ่งที่ไม่ผิดก็ด้วยอำนาจวาสนาของท่านไง

ไอ้เราก็เกิดมาเป็นคนเหมือนกัน เราก็มีอำนาจวาสนาเหมือนกัน เราจะปฏิบัติเหมือนกัน แต่ถ้าเราปฏิบัติ จิตเห็นจิตแล้วจะไปแก้มันที่ไหน แล้วจะไปทำลายมันอย่างไร แล้วจะทำลายที่ภพของจิต หรือทำลายที่ตัวจิต หรือจะทำลายที่ผู้รู้

มันเป็นทำนายทายทัก ไอ้นี่มันจะเป็นหนังอวตาร จะสร้างหนังใช่ไหม ส่งเรื่องมาสิ จะอนุมัติไม่อนุมัติทุนไปสร้างไง ถ้าจะสร้างจินตนาการของตนก็ไม่ต้องถามอีกนะ จบแล้ว จบ

ถาม เรื่อง ขออาราธนาธาตุขันธ์พ่อแม่ครูจารย์

ตอบ เขียนมาเสียยาวยืดเชียว อันนี้ก็เหมือนกัน อย่าเขียนมาอีกนะ อย่าเขียนมา

อาราธนาธาตุขันธ์

ธาตุขันธ์อะไรของเอ็ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังปรินิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมอประจำพระองค์คือหมอชีวกโกมารภัจจ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนกรรมฐาน ๔๐ ห้อง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนมรณานุสติ กำหนดระลึกถึงตายๆๆ ตลอดเวลา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระอานนท์ อานนท์ ระลึกถึงความตายวันละกี่หน

พระอานนท์บอกว่า ระลึกถึงความตายตลอดเวลา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เธอนี่ประมาทมากนะ ให้ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังสอนพระอานนท์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังระลึกถึงความตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ็บไข้ได้ป่วยยังมีหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นผู้ที่รักษา

เอ็งเป็นใคร มาอาราธนาอะไร เขียนมาเพ้อเจ้อ อย่าเขียนมานะ จะอาราธนาอย่างนู้น อู๋ยเศร้าหมอง จะอาราธนาให้อยู่ยั่งยืน

โฮ้น่าเบื่อเว้ย อาราธนาอย่างไรมันก็เป็นเรื่องอาราธนา มันเป็นเรื่องประเพณี มันเป็นเรื่องวัฒนธรรม เป็นเรื่องความปรารถนาดี แต่ขอให้มีวุฒิภาวะให้เติบโตขึ้นมา ในเมื่อก็เป็นลูกศิษย์พระกรรมฐานไง พระกรรมฐานมรณานุสติ ระลึกถึงความตายๆ

คนที่มันเหิมเกริมจองหองพองขนจะครองโลกนั่นน่ะ ให้ระลึกถึงความตายๆ มึงก็ต้องตายทั้งนั้นน่ะ เอ็งจะไปยึดครองโลกขึ้นมา แล้วพอตายแล้ว โลกใครจะครองมันน่ะ ใครจะบริหารจัดการโลกล่ะ ถ้าระลึกถึงความตายแล้วมันธรรมสังเวชไง มันสงบมันระงับ มันไม่เพ้อเจ้อ

ฉะนั้น เวลาเขียนมานี่ โอ้โฮอาราธนาจะเป็นอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้ เพ้อเจ้อเพ้อพก

หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หัดภาวนา เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันเป็นไปได้จริง ถ้ามันเป็นไปไม่ได้จริงเราก็ทำคุณงามความดีของเรา

ครูบาอาจารย์ท่านก็เป็นครูบาอาจารย์ของท่าน เวลาครูบาอาจารย์ของท่าน ท่านมีศีลมีธรรมของท่าน ไอ้เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องเล็กน้อย มันเป็นเรื่องข้อเท็จจริงไง ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด คนเกิดมามันต้องตายทั้งสิ้น ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอก

เพียงแต่ว่ามันเป็นจริตเป็นนิสัย เป็นอำนาจวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอตทัคคะ ๘๐ องค์ ใครมีความถนัดอย่างไร ใครมีความรู้ความเห็นอย่างไร นี่ด้วยความถนัดของท่าน

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน วาสนาของคน เห็นไหม มีพระ (จำชื่อไม่ได้เกิดมาไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย เวลาถึงที่สุดแล้วก็นิพพานไป นี่ด้วยอำนาจวาสนาของเขา เวลาตั้งแต่เขาสร้างสมบุญญาธิการมา เขาได้เสียสละ ได้ทำคุณงามความดีของเขา ได้ดูแลคนเจ็บคนป่วยมา เวลาเขามาเกิดเป็นชาติสุดท้ายเขาไม่เจ็บไม่ป่วยเลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปตรวจวัด เห็นพระป่วย พระป่วยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปชำระล้าง แล้วเทศนาว่าการถึงที่สุดเขาก็เป็นพระอรหันต์ไป

พวกพระเขาถามว่า เขามีอำนาจวาสนา เพราะพระอรหันต์นะ แสนกัป คำว่า จะเป็นพระอรหันต์” นะ เขาจะทึ่งมากว่า คำว่า พระอรหันต์” เขาได้สร้างบุญญาธิการมามากขนาดไหนถึงเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้น เวลาที่จะเป็นพระอรหันต์เขาต้องมีอำนาจวาสนาของเขา ถ้ามีอำนาจวาสนาของเขา

เวลาจะนั่งภาวนาก็ทนไม่ได้ เวลาจะเกิดสติจะเกิดปัญญา โอ้โฮล้มลุกคลุกคลาน ถ้ามีสติมีปัญญามันจะต่อสู้

ฉะนั้น เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดนั้นจนไม่มีคนดูแล ทิ้งไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเดินตรวจวัด ไปเห็นคนเจ็บไข้ได้ป่วย ไปชำระล้าง พระเห็นก็เข้าไปช่วยกันเต็มที่เลย

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกว่า ถ้าเธอจะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เธอจงอุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด

แต่ก็มีพ่วงไว้ว่า ถ้าภิกษุที่งอแง ภิกษุที่อ่อนแอ ภิกษุที่กลั่นแกล้ง ภิกษุที่มีมายา ไม่ต้องไปดูแลเขา

ฉะนั้นบอกว่า ถ้าไปดูแลภิกษุไข้ ไอ้คนที่ออเซาะฉอเลาะมันก็จะมาให้เราดูแลไง ไม่มีใครดูแลมันก็จะมาออดอ้อน ถ้าดูแลเราเท่ากับดูแลพระพุทธเจ้า” โอ๋ยเข้ามากันใหญ่เลย

แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้ามันออเซาะฉอเลาะ ไม่ฟัง ให้กินยาก็ไม่กิน ไม่ต้องไปดูแลเขา” ก็ยังมีไว้อีกว่า ถ้ามันเป็นกลมายา อย่าไปส่งเสริม

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ไง ถ้าเป็นความจริง เราดูแล แล้วเวลาดูแลแล้ว ถึงที่สุดแล้วสิ้นกิเลสไปพร้อมกับสิ้นชีวิตไป นี่เวลาพระเจ็บไข้ได้ป่วย

เขาก็ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เขามีอำนาจวาสนาจนถึงว่าได้เป็นพระอรหันต์ ทำไมถึงเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดนี้ล่ะ แล้วทำไมไม่มีอำนาจวาสนา ไม่มีคนมาดูแลเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า อดีตชาติเขาทำอย่างนั้นไว้

เห็นไหม นี่มันอยู่ที่ว่าใครทำไว้ ใครทำเวรกรรมสิ่งใดไว้ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าจะดูแลรักษา ที่มาออดมาอ้อนจะอาราธนาน่ะ อีกร้อยชาติพันชาติ จบนะ

เราเห็นตั้งแต่สมัยหลวงตา เห็นแล้วมันน่าสะอิดสะเอียนน่ะ แหมดอกไม้ธูปเทียนเข้าเช้า เข้ากลางวัน เข้าบ่าย เข้าเย็น กลายเป็นธุรกิจไปเลย ธุรกิจอาราธนาให้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไป เป็นธุรกิจแขนงหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน ไม่ต้อง

เราเป็นปุถุชนคนหนา เราจะปรารถนาคุณงามความดี ถ้าเราทำได้นะเราเป็นกัลยาณชน ถ้าเป็นคนคู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ มันก็เป็นอำนาจวาสนาของคน ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติแล้ว ถ้าจิตใจท่านเป็นธรรมแล้วท่านจะมาออเซาะฉอเลาะเรื่องเกิดเรื่องตายนี่มันเรื่องมารยาสาไถย มันเรื่องไร้เดียงสา

ถ้าเป็นธรรมในใจนะ ถ้าธรรมมันเกิดจริงนะ เรื่องอย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามรณานุสติ ให้ระลึกถึงความตายตลอดเวลา ถ้าระลึกถึงความตายแล้วมันไม่ตายหรอก เพราะระลึกถึงความตายมันระวังตัวเลย เต็มที่เลย

โธ่เวลาหลวงตาที่หนองผือที่ท่านว่าท่านจะตายๆ ไง เวลาจิตจะออก พอระลึกถึงพุทโธ ชัดเจนเลย

นี่ก็เหมือนกัน มันจะเป็นมันจะตายมันอยู่ที่เขาทำมา พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์ขนาดนั้นน่ะ ถึงเวลาโจรมาทุบตาย นั่นก็เศษกรรมของท่าน

นี่ก็เหมือนกัน มันจะพยากรณ์ได้อย่างไรว่าจะตายอย่างไร จะตายเมื่อไหร่ แล้วจะตายไปที่ไหน ช็อกตายตอนนี้ก็ยังได้เลย วูบตายเดี๋ยวนี้จบแล้ว จะเป็นจะตายมันเรื่องกุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา

แหมจะมาออเซาะฉอเลาะอาราธนาเชิญชวนเป็นธุรกิจค้าความตายหรือ จบ

ถาม เรื่อง การอาราธนา

ตอบ เหมือนกัน อาราธนาอีกแล้ว

ไอ้เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยมันเรื่องธรรมดา ไอ้ความเจ็บไข้ได้ป่วยมันก็เจ็บไข้ได้ป่วย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เจ็บไข้ได้ป่วย หมอชีวกโกมารภัจจ์พอกแผลไว้ เป็นแผลที่เท้าแล้วพอกแผลไว้ แล้วหมอชีวกก็ไปรักษาคนนอกราชวัง กลับมาไม่ทันไง โอ๋ยนั่งวิตกกังวลอยู่ข้างนอก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยอนาคตังสญาณนะ หมอชีวกเป็นทุกข์เป็นยากมากว่าได้พอกเท้าพระพุทธเจ้าไว้ ถ้าไม่ได้แกะออกมันจะดูดน่ะ มันจะเจ็บปวดมาก แล้วคืนนี้เรากลับมาไม่ทัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณว่าหมอชีวกทุกข์เพราะเรื่องอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแกะออกเองเลย

เช้าขึ้นมาหมอชีวกเข้าไปเฝ้า บอก ชีวก ว่าอย่างไร

โอ๋ยข้าพเจ้านอนเป็นทุกข์ทั้งคืนเลย กลัวว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปวดเท้า” เพราะมันจะเป็นบาปเป็นกรรมไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ชีวก เราถอดเองก็ได้

อยู่ในพระไตรปิฎก

ความเจ็บไข้ได้ป่วยมันเรื่องธรรมดา คนที่ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเลยคือคนที่ได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เป็นลาภของบุคคลนะ ถ้าไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็รักษาตามอาการนั้นไป ถ้าคนมีเวรมีกรรมก็เป็นอย่างนั้นแหละ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมดา

ถ้าเป็นถึงครูบาอาจารย์ เรื่องอย่างนี้เอ็งไม่รู้เอ็งมาสอนมนุษย์ได้อย่างไรวะ มนุษย์เขายังรู้เลย เจ็บไข้ได้ป่วยเขายังไปโรงพยาบาลไปหาหมอ แล้วนี่เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาต้องให้คนนู้นมาอย่างนี้...โฮ้พอนะ เรื่องอย่างนี้ให้จบ จบ

ถาม เรื่อง เริ่มต้นสวดมนต์บทใด

กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยใจบูชาอย่างสูงค่ะ ลูกไม่ค่อยชอบสวดมนต์เพราะไม่ค่อยรู้คำแปล ไม่รู้ความหมาย จึงไม่เข้าใจว่าสวดอะไรอยู่ แล้วก็สงสัยด้วยว่า ก่อนการนั่งสมาธิจำเป็นจะต้องสวดมนต์หรือไม่ และถ้าต้องสวดมนต์จะต้องสวดบทใดจึงจะถูกต้อง ลูกจึงเข้าไปหาข้อมูลตามช่องทางออนไลน์ต่างๆ มีการแชร์ข้อมูลหลากหลายจนสับสนไม่รู้จริงหรือเท็จ และไม่รู้สึกเชื่อถือ ดังนั้น ลูกจึงใคร่ขอความเมตตาจากหลวงพ่อขอถามดังนี้ค่ะ

การสวดมนต์ก่อนทำสมาธิจำเป็นหรือไม่เจ้าคะ และต้องสวดบทใดจึงจะถูกต้อง

สำหรับคนธรรมดาที่ต้องเหนื่อยกับการทำมาหากินในแต่ละวัน แต่อยากสวดมนต์ ต้องสวดมนต์บทใดจึงจะเหมาะสม และสามารถใช้บทเดียวกับคำถามในข้อที่ ๑หรือไม่

การแผ่เมตตา การอุทิศส่วนกุศล เป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่ สามารถใช้เป็นคำพูดง่ายๆ ตามความตั้งใจและความเข้าใจของเราโดยไม่ต้องใช้บทสวดได้ไหมเจ้าคะ (เพราะไม่รู้คำแปลและบทสวดแต่ละบท)

น้อมกราบถวายหลวงพ่อให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวเจ้าค่ะ

ตอบ สวดมนต์ๆ พูดถึงโดยทั่วไป การสวดมนต์มันก็เหมือนคำบริกรรมนี่แหละ การสวดมนต์ๆ ถ้าเราสวดมนต์ผิดพลาด ถ้าเราสติไม่ดี สวดมนต์มันก็ผิด ถ้าเราตั้งสติ การสวดมนต์ก็ถูก พุทโธๆๆ ถ้าเราตั้งสติไว้ พุทโธมันก็ชัดเจน ถ้าเราเผลอไผล พุทโธมันก็จางหายไป

ฉะนั้น ถ้าสวดบทใดๆ มันก็อยู่ที่จริตนิสัย แล้วอยู่ที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านชื่นชอบ มันเป็นจริตของแต่ละบุคคล

ไอ้เรา ถ้าเราจะสวดมนต์ เราจะสวดมนต์บทใด

สวดมนต์บทใด เห็นไหม เรากำหนดทำวัตร ในทางโลกเขาแบบว่าจะให้มันเรียบง่าย เขาก็จะสอนนะ เป็นคาถาเศรษฐี เป็นคาถา มันก็คัดลอกมาจากพระไตรปิฎกทั้งสิ้น

ฉะนั้น ถ้าเราจะสวดมนต์เราก็สวด เหมือนทำวัตร อิติปิโส ภควาฯ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สวดบทใดก็ได้บทหนึ่ง แล้วถ้าสวดแล้วฝึกหัดให้มันเป็นการนอบน้อมสู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ถ้านอบน้อมสู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นรัตนตรัยที่เป็นที่พึ่งที่พาที่อาศัย จิตเราไม่เคว้งคว้าง จิตเรามันมีที่พึ่งที่อาศัยยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แล้วเราก็ฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนา

เพราะเวลาพุทโธๆ พุทโธจนใจมันเป็นพุทโธ เห็นไหม พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระพุทธเจ้าสถิตกลางหัวใจของเราเลย

หัวใจของเรา จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันสร้างเวรสร้างกรรมของมันมา มันไม่มีที่พึ่งที่อาศัยของมัน มันก็ว้าเหว่ มันก็เที่ยวให้กิเลสมันครอบงำแล้วให้กิเลสมันชักจูงของมันไปตามอำนาจของกิเลส

แต่เราได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาชนะมาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำลายมาร มารที่ทำให้ประชาชน ทำให้ชาวพุทธทุกข์ยาก ทำให้ชาวพุทธล้มลุกคลุกคลาน พระพุทธศาสนาชำระล้างกิเลส ชำระมาร

แต่ของเรา เรายังมีมารอยู่ เรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เรามีอวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้ในใจของเรานั่นแหละคือพญามาร ทีนี้พญามารอยู่ในหัวใจของเรา แต่เราได้เกิดเป็นมนุษย์ไง เราได้เป็นอุบาสก อุบาสิกาในพระพุทธศาสนา ถ้าพระพุทธศาสนา เรามีความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา อย่างเช่น แค่เขียนคำถามมานี่ว่าอยากจะเป็นชาวพุทธที่ดีงามก็เป็นวาสนาของเราแล้ว

คนที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเขาไม่สนใจ เขาไม่ใส่ใจ เขาไม่ต้องการ เขาต้องการให้สมตามแต่มารมันบงการ มารมันบอกว่าต้องมีเงินห้าร้อยล้าน ต้องมีคอนโดห้าร้อยชั้น ต้องครองโลกอย่างนี้ ก็เชื่อมัน แล้วก็วิ่งจะหามาให้สมกับที่มัน...แล้วเราตายก่อน เราทำงานจนตายเลย ไม่สมความปรารถนาใดๆ ทั้งสิ้น แต่เราก็ทำหน้าที่การงานหาปัจจัยดำรงชีวิตดำรงชีพ

เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วไง แล้วเรามีวาสนาด้วย เรามีศรัทธา เราจะฝึกหัดสวดมนต์แล้วฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนา ถ้าเราเข้าไปถึงพุทโธ พุทธะ จิตใจที่เป็นพุทโธที่มันตื่น มันเบิกบาน นั่นมันเป็นวาสนาของคน แล้วถ้าจิตใจดวงนั้นมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา คือรู้แจ้งแทงตลอดกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน นี่กิเลสมันจะตายๆๆ ตายไปจากใจเราไง ใจเราจะประเสริฐ นี่คือเป้าหมาย

แต่หนูจะทำอย่างไรล่ะ หนูจะสวดมนต์ สวดมนต์บทไหน

บทที่เราถนัด บทที่ถูกต้อง แล้วเราสวดโดยความสวยงามความพองามพอ ไม่ต้องว่าจะต้องสวดบทนั้นๆ จะต้องสวดที ๕ ชั่วโมง ๗ ชั่วโมง ไม่ใช่

หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ประเสริฐกว่าเยอะมาก การหายใจพร้อมกับสติสัมปชัญญะ จิตมันจะปล่อยวาง จิตมันจะอยู่กับพุทโธ

อารมณ์ที่มันเครียด อารมณ์ที่มันทุกข์ยากมันบีบๆๆ บีบหัวใจ หายใจลึกๆ พุท หายใจออกโธ จิตมันจะคลายความบีบคั้นของกิเลส มันปลอดโปร่งขณะหายใจ เห็นไหม หายใจเข้าลึกๆ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ อยู่ของเราประมาณนี้ นี่มันสำคัญกว่าการสวดมนต์ด้วย

แต่สวดมนต์ก็จำเป็น สวดมนต์ก็เป็นบาทเป็นฐาน เป็นการเริ่มต้นของเรา สวดมนต์ก็นึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

การสวดมนต์จำเป็นหรือไม่เจ้าคะ และต้องสวดบทไหนเจ้าคะ

การสวดมนต์ ถ้าไม่จำเป็นเลยมันจะไม่มีหนทาง มันจะไม่มีหลักยึดไง

แต่เราเคยออกประพฤติปฏิบัติในสายของหลวงปู่ฝั้น ท่านจะทำวัตรแล้วนั่งสมาธิ เมื่อก่อนหลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็นั่งทีหนึ่ง ๗-๘ ชั่วโมง

เวลามาอยู่บ้านตาดท่านไม่ทำ ท่านบอกให้ปฏิบัติใครปฏิบัติมัน สวดมนต์ใครสวดมนต์มัน เพราะท่านบอกว่า เวลาจิตมันจะลงมันไม่เหมือนกัน

ฉะนั้น เวลามานั่งทำวัตรแล้วนั่งสมาธิที่ศาลามันจะเป็นประโยชน์กับภิกษุบวชใหม่ ภิกษุบวชใหม่เริ่มต้นมันจะก้าวเดินไม่เป็น มันก็จะอาศัยหมู่คณะชักลากไป แต่พอนั่งไปๆ นานๆ พอจิตมันจะสงบ อย่างเช่น ไม่ใช่อวดนะ เราอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ เวลานั่งสมาธินี่คอยระวังไว้ กลัวมันลงอย่างเดียว เพราะลงแล้วเดี๋ยวเขาลุก เราลุกไม่ทันเขา เขาจะหาว่าแอ็กชัน

อยู่ในวงพระนี่ต้องทำตัวให้เล็กๆ อ่อนน้อมถ่อมตน นี่ฝึกหัดปฏิบัติ จนไม่มีใครรู้ว่าไอ้หงบภาวนาเป็นน่ะ ไม่มีใครเชื่อนะว่าไอ้เจ๊กบ้านี่ภาวนาได้เหมือนกันหรือวะ กูเห็นมันเหมือนคนบ้าเลย นี่ระวังตัวเต็มที่ ไปอยู่กับหลวงตา ต่างคนต่างประพฤติปฏิบัติ

ฉะนั้นบอกว่า สวดมนต์จำเป็นหรือไม่จำเป็น

มันอยู่ที่จริตนิสัย สายหลวงปู่ฝั้นสวดมนต์ทำวัตรแล้วนั่งสมาธิต่อเนื่องไป หลวงปู่เจี๊ยะเหมือนกัน หลวงปู่เจี๊ยะจนแบบว่าสวดมนต์ทำวัตรแล้วนั่ง เรานั่งกับท่านตัวต่อตัว ทำไมมึงนั่งอย่างนั้น ทำไมมึงนั่งอย่างนั้น” โอ๋ยซัดตลอดเวลาเลยล่ะ เราอยู่กับท่านน่ะ แต่อยู่กับหลวงตาไม่มี

อาจารย์สิงห์ทองเป็นคนพูดเองว่าครูบาอาจารย์มหาบัวไม่พาทำ เพราะอะไร เพราะถ้ามันจะเอาแบบว่าส่วนที่ละเอียดกว่า จิตมันจะลง ลงไม่ลง ลงแล้วมันจะถอนตอนไหน

ฉะนั้น หลวงตาท่านถึงสอนว่า ถ้าจิตลงสมาธิแล้วอย่าไปลุกพรวดพราดออก ถ้าออกแล้ววันหลังจะเข้าได้ยาก

เห็นไหม คนที่ภาวนาเป็นอาชีพนี่นะ พระอาชีพ ไม่ใช่อาชีพพระ เวลาเขาทำของเขามันต้องทำต่อเนื่องมามันถึงจะรู้ว่าสมาธิเป็นอย่างไร ชำนาญในวสี ชำนาญในวสีการเข้าและการออก

ไอ้คนภาวนาไม่เป็น เฮ้ยสมาธิมีออกมีเข้าด้วยหรือ” แสดงว่าไอ้นี่มันภาวนาไม่เป็น มึงไม่เคยเข้าสมาธิเลย เพราะไม่เคยเข้าและไม่เคยออกมันถึงบอกว่าไม่ต้องมีการเข้าและการออกไง เวลาคนมันพูดมันจะรู้เลยว่าคนคนนี้เคยทำอย่างไร โอ๋ยสมาธิมีการเข้าการออกด้วยหรือ เฮอะมีประตูด้วยเนาะ

เวลาจิตมันละเอียด แล้วมันคลาย คลายออกอย่างไร ถ้าลุกพรวดพราดออก วันหลังเข้าติดขัดเลย นี่หลวงตาท่านสอนประจำ

แล้วเดินจงกรมนะ เดินโดยการขาดสติ ท่านบอกว่า เห็นแล้วตาจะแตก มันจะเป็นสมาธิได้อย่างไรนั่นน่ะ จิตมันแตกหมดน่ะ จิตมันกระจายออกหมดแล้วมันจะเป็นสมาธิได้อย่างไร เวลาหลวงตาท่านกระหนาบเลยนะ

ฉะนั้น จะทำอะไรต้องทำให้จริงจัง เดิน เดินให้สำรวมระวัง ทำให้ดีงาม แล้วถ้ามันเป็น

ขนาดเริ่มต้นกิริยา ปฏิบัติพอเป็นพิธี ขนาดพิธีปฏิบัติมันยังเหลวแหลก ปฏิบัติเป็นพิธีมันยังเอาพิธีปฏิบัติมาหลอกลวงชาวโลก แล้วมันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ

นี่พูดถึงว่า จำเป็นหรือไม่ ต้องสวดมนต์หรือภาวนาไปเลย

อยู่ที่เราชอบ อยู่ที่จริตนิสัย แล้วลองดูกับตัวเองว่ามันเข้ากับตัวเองได้หรือไม่ได้ นี่ข้อที่ ๑.

สำหรับคนธรรมดาที่เหนื่อยจากการทำมาหากินแต่ละวันแล้วต้องสวดมนต์ แล้วต้องสวดบทไหน ใช้บทเดียวกับข้อที่ ๑ได้หรือไม่

อันนี้มันเสมอกันด้วยความเป็นมนุษย์ ในพระไตรปิฎกทุกข้อ ทางของคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบ ทางของสมณะเป็นทางกว้างขวาง ในวินัยทุกข้อ ไปเปิดดูได้ แล้วเวลาข้อสุดท้าย คฤหัสถ์ต้องทำมาหากิน ต้องมีหน้าที่การงาน ไม่เหมือนนักบวช ไม่เหมือนพระ

เราปฏิบัติ ๒๔ ชั่วโมงจริงๆ อยู่บ้านตาดนี่แหละ อดอาหาร อดนอน เนสัชชิก ๒๔ ชั่วโมงเลย แล้วไม่ใช่วันเดียว เป็นปีๆ ไม่อย่างนั้นหลวงตากับเราทำไมถึงเป็นเนื้อเดียวกันได้ ไม่อยากจะพูดอย่างนี้เลย

หลวงตาท่านเวลามาโพธารามน่ะ ใจสู่ใจ ใจถึงใจ เพราะมันเห็นกันมา มันทำมาด้วยกัน ท่านควบคุมเรามา ใครจะไปแหกตาท่านได้

ฉะนั้น คนอื่นบอกว่า เอ๊ะเอ็งทำอย่างไรวะ

เอ็งมาถามนี่มันก็เป็นอดีตไปหมดแล้ว ตอนที่อยู่กับท่าน อบรมอยู่กับท่านทำไมไม่ฝึกหัด ทำไมไม่ทำตัวให้ดีงาม เวลาออกจากท่านมาแล้วจะให้ท่านมาเยี่ยมๆ แต่เราโพธาราม ท่านมาตลอด ใจถึงใจ อันนี้พูดถึงว่าเวลาถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงไง

ฉะนั้นบอกว่า เราเป็นคนธรรมดาหากิน แล้วจะสวดบทใด

ทางคฤหัสถ์มันเป็นแบบนี้ มันเสมอกันโดยความเป็นมนุษย์ ฉะนั้น เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วเรามีศรัทธามีความเชื่อในพระพุทธศาสนา แล้วเราอยากปฏิบัติ อันนี้เราถือเป็นบุญแล้วแหละ แต่เวลาการปฏิบัติก็ปฏิบัติพอกับอำนาจวาสนาของตน ปฏิบัติเพื่อให้จิตสงบระงับ ปฏิบัติเพื่อให้มีการผ่อนคลาย ปฏิบัติเพื่อให้มีความสุขในชีวิตประจำวันน่ะ

ไม่ต้องไปเครียด ไม่ต้องไปปฏิบัติแล้วจะเป็นพระอรหันต์ ใครเริ่มนั่งสมาธิก็เป็นพระอรหันต์ ใครเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ถ้ามีศรัทธาความเชื่อปฏิบัติแล้วเป็นพระอรหันต์

พระสี่ห้าแสนองค์ยังไม่ได้เป็นน่ะ ถ้าโยมปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ พระบวชมาเป็นพระนี่สามแสนกว่าองค์ครับ นั่งสมาธิเป็นพระอรหันต์หมดเลย เป็นไหม

มันอยู่ที่ข้อเท็จจริง มันอยู่ที่การปฏิบัติตามความเป็นจริง แต่ที่ว่าให้ปฏิบัติไม่ต้องคาดหมายว่าจะเป็นพระอรหันต์หรอก ปฏิบัติเพื่อความสุข ปฏิบัติเพื่อชีวิต ปฏิบัติเพื่อให้จิตใจปลอดโปร่ง ปฏิบัติตัวเองให้เท่าทันกิเลส แค่นี้เราก็สาธุแล้ว ตั้งใจเท่านี้พอ

แผ่เมตตากับการอุทิศส่วนกุศล เป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่เจ้าคะ

แผ่เมตตา มันเป็นผู้ที่เวลาเราทำคุณงามความดีแล้วเราแผ่เมตตา เหมือนเราเป็นคนที่สูงกว่าดึงคนที่ต่ำกว่า การอุทิศส่วนกุศล ใครๆ ก็อุทิศส่วนกุศล ที่เรามีอำนาจวาสนาแค่นี้ ในการแผ่เมตตา เราก็แผ่เมตตาของเรา

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงตาพระมหาบัวเวลาท่านบอกว่า ทุกเช้าท่านจะแผ่เมตตาครอบโลกธาตุ ครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านมีอำนาจวาสนาท่านก็แผ่เมตตาของท่านเพื่อปกป้องคุ้มครองดูแลไง เพื่อความสงบสุขไง

สมัยโบราณนะ ถ้าพระมหากษัตริย์อยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาล ครูบาอาจารย์ที่เป็นศีลเป็นธรรมไปอยู่ที่ไหนสังคมนั้นจะร่มเย็นเป็นสุข สังคมนั้น สิ่งที่เป็นนามธรรมเขาจะคุ้มครองดูแลเพื่อประโยชน์สุขของเขา

เพราะทุกคนก็ปรารถนาบุญ เราก็อยากปรารถนาบุญ เราไปวัดไปวาไปทำบุญกุศลเราก็อยากได้บุญ เทวดา อินทร์ พรหมเขารู้ของเขา ทำไมเทวดา อินทร์ พรหมต้องมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น เพราะอะไร เพราะจิตของหลวงปู่มั่นสว่างไสวครอบโลกธาตุ พอเขาหลับตาเขาก็เห็น เขาลืมตาเขาก็เห็นน่ะ ไอ้เราพยายามเอาพระอาทิตย์มาผูกไว้ที่ตัวเลย มันยังไม่สว่าง มันยังสว่างไม่ได้เลย

แต่ใจท่านเป็นธรรมท่านสว่าง คนที่เป็นธรรมๆ ไปอยู่ที่ไหนสังคมร่มเย็นเป็นสุขไง เขาก็เชิดชูบูชา นี่พูดถึงว่า แผ่เมตตา

แต่ของเราอุทิศส่วนกุศล เราก็อุทิศส่วนกุศลของเรา เรามีคุณงามความดีมากน้อยขนาดไหนก็ขอให้พวกจิตวิญญาณทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่มีเวรมีกรรมด้วยกันไง เรามีคุณงามความดีอุทิศส่วนกุศลของเราให้ทั้งสิ้น

ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีธรรมของท่าน ท่านก็แผ่เมตตาของท่านเพื่อให้สิ่งที่คุ้มครอง คุ้มครองดูแลโลก สิ่งที่เป็นจักรวาล สิ่งที่ ๓ โลกธาตุให้ร่มเย็นเป็นสุขไง แล้วร่มเย็นเป็นสุขมากน้อยขนาดไหนมันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของคนไง นี่พูดถึงว่าแผ่เมตตาหรืออุทิศส่วนกุศล แต่เราก็ฝึกหัดปฏิบัตินะ

เวลาถามมานี่เป็นคำถามเริ่มต้น แต่เราก็ยังชื่นใจ ชื่นใจว่ายังใฝ่ดี ยังอยากประพฤติปฏิบัติ ยังขวนขวายทำคุณงามความดี แค่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา แค่นี้เรายังชื่นใจเลย

แต่เวลาจิตเห็นจิต...ไอ้นี่มันทำนายทายทัก มันเป็นเรื่องขวนขวายจะเอาตามกิเลสมันต้องการน่ะ แต่โดยเบสิกโดยพื้นฐานมันยังภาวนาไม่เป็นน่ะ มันไม่รู้เรื่องอะไรเลยแต่มันจะเอา

แต่คนที่เขาเริ่มต้นเขายังใฝ่ดีคิดดี ปรารถนาคุณงามความดี นี่ให้มันเป็นสัมมาทิฏฐิความถูกต้องชอบธรรม สาธุ เอวัง